ไขข้อสงสัย “เอลนีโญ” กับ “ลานีญา” ต่างกันยังไง? มีผลอย่างไรกับเรา?

หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับปรากฎการณ์ “เอลนีโญ” และ “ลานีญา” ซึ่งเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนและการเกิดน้ำท่วม แต่อาจจะยังไม่ทราบรายละเอียดว่าทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร และส่งผลกระทบอย่างไรต่อโลกบ้าง ในบทความนี้ วิชาการ จะพาไปไขข้อสงสัยให้กระจ่างกันค่ะ

ไขข้อสงสัย “เอลนีโญ” กับ “ลานีญา” ต่างกันยังไง? มีผลอย่างไรกับเรา?

ความต่างของ “เอลนีโญ” กับ “ลานีญา”

     เอลนีโญและลานีญา เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางและตะวันออก มีผลกระทบต่อสภาพอากาศทั่วโลก โดยทั้งสองปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลและลมที่พัดข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก โดยมีความแตกต่างกัน ดังนี้

เอลนีโญ (El Niño)

  • อุณหภูมิผิวน้ำทะเล: อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางและตะวันออกสูงกว่าปกติ
  • ลม: ลมค้า (Trade winds) ที่พัดจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตกอ่อนลง หรือบางครั้งอาจเปลี่ยนทิศ
  • ระยะเวลา: อาจจะเกิดขึ้นในทุก 2 – 7 ปี และคงอยู่ได้นานประมาณ 9 – 12 เดือน
  • ผลกระทบต่อสภาพอากาศ:
    • ในแถบอเมริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศเปรูและเอกวาดอร์ จะมีฝนตกหนักและน้ำท่วม
    • ในแถบอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และไทย อากาศจะแห้งแล้งและมีความเสี่ยงที่จะเกิดไฟป่า

ลานีญา (La Niña)

  • อุณหภูมิผิวน้ำทะเล: อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางและตะวันออกต่ำกว่าปกติ
  • ลม: ลมค้าจะแรงขึ้นกว่าปกติ
  • ระยะเวลา: อาจจะเกิดขึ้นในทุก 2 – 3 ปี และคงอยู่ได้นานประมาณ 9 – 12 เดือน แต่บางครั้งก็ยาวนานถึง 2 ปี
  • ผลกระทบต่อสภาพอากาศ:
    • ในแถบอินโดนีเซียและออสเตรเลีย จะมีฝนตกมากกว่าปกติและมีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วม
    • ในแถบอเมริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศเปรูและเอกวาดอร์ อากาศจะแห้งแล้ง

“เอลนีโญ-ลานีญา” กับผลกระทบต่อโลก

เอลนีโญและลานีญาส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศและสภาวะแวดล้อมทั่วโลกในหลายด้าน รวมถึงอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน พายุโซนร้อน และปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

1. อุณหภูมิ

เอลนีโญ:

  • อุณหภูมิโลกเฉลี่ยมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางและตะวันออกสูงขึ้น ทำให้ปล่อยความร้อนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น
  • อุณหภูมิในบางพื้นที่ของโลก เช่น อเมริกาเหนือและเอเชียตะวันออก อาจมีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าปกติ ฯลฯ
ลานีญา:

  • อุณหภูมิโลกเฉลี่ยมีแนวโน้มต่ำลง เนื่องจากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางและตะวันออกต่ำลง ทำให้ความร้อนที่ปล่อยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศน้อยลง
  • บางพื้นที่ เช่น ออสเตรเลียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจมีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ ฯลฯ

2. ปริมาณน้ำฝน

เอลนีโญ:

  • พื้นที่แถบอเมริกาใต้ เช่น เปรูและเอกวาดอร์ มีปริมาณฝนตกมากกว่าปกติ ทำให้เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง ฯลฯ
  • พื้นที่แถบอินโดนีเซียและออสเตรเลียมีปริมาณฝนตกน้อยกว่าปกติ ทำให้เกิดภาวะแห้งแล้ง
ลานีญา:

  • พื้นที่แถบอินโดนีเซียและออสเตรเลียมีปริมาณฝนตกมากกว่าปกติ ทำให้เกิดน้ำท่วม
  • พื้นที่แถบอเมริกาใต้ เช่น เปรูและเอกวาดอร์ มีปริมาณฝนตกน้อยกว่าปกติ ทำให้เกิดภาวะแห้งแล้ง ฯลฯ

3. พายุโซนร้อน

เอลนีโญ:

  • มีแนวโน้มที่จะลดจำนวนพายุโซนร้อนในมหาสมุทรแอตแลนติก เนื่องจากลมเฉือน (wind shear) ในพื้นที่นั้นเพิ่มขึ้น ทำให้พายุโซนร้อนเกิดขึ้นยากขึ้น
  • ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก จำนวนพายุโซนร้อนอาจเพิ่มขึ้น
ลานีญา:

  • มีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนพายุโซนร้อนในมหาสมุทรแอตแลนติก เนื่องจากลมเฉือนในพื้นที่นั้นลดลง ทำให้พายุโซนร้อนเกิดขึ้นง่ายขึ้น
  • ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก จำนวนพายุโซนร้อนอาจลดลง

4. คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)

เอลนีโญ:

  • เอลนีโญอาจส่งผลให้มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่บรรยากาศมากขึ้น เนื่องจากมีการเผาไหม้จากไฟป่าที่เกิดจากภาวะแห้งแล้งในบางพื้นที่ และการปลดปล่อย CO2 จากมหาสมุทรเนื่องจากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขึ้น
ลานีญา:

  • ลานีญาอาจทำให้มีการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศเข้าสู่มหาสมุทรมากขึ้น เนื่องจากน้ำทะเลเย็นลง ซึ่งมีความสามารถในการละลาย CO2 ได้ดีกว่า

               วิชาการ สรุปได้ว่าปรากฎการณ์เอลนีโญและลานีญามีผลกระทบอย่างมากต่อสภาพอากาศทั่วโลก โดยมีผลต่ออุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน การเกิดพายุโซนร้อน และปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ ซึ่งส่งผลต่อทั้งสภาพอากาศในระยะสั้นและสภาวะแวดล้อมในระยะยาว ซึ่งมนุษย์โลกจะต้องช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมและพยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป

วิชาการ
Logo
Enable registration in settings - general