วิตามินซี ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้จริงหรือ ? ตอบได้เลยว่าจริงล้านเปอร์เซ็นต์ บทความนี้จะเอาใจสาว ๆ ที่ชอบทานวิตามินซี เป็นไอเท็มประจำตัว เพราะหลาย ๆ คนทราบกันดีอยู่แล้วว่าวิตามินชีมีประโยชน์มากแค่ไหน แต่ใครที่ยังไม่รู้หรืออยากจะรู้เพิ่มขึ้นบทความนี้มีคำตอบ
ประโยชน์
ประโยชน์ของวิตามินซีที่เราคุ้นเคยกันดีมีได้แก่ ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ มีฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสระ รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน นอกจากนั้นวิตามินซียังมีความสำคัญในการช่วยเสริมภูมิต้านทานร่างกายได้อีกด้วย โดย
- ช่วยสร้างโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่มีคุณสมบัติในการกำจัดเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อไวรัส
- เพิ่มการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว T-lymphocyte ที่ทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อไวรัส
- เพิ่มการทำงานของเม็ดเลือดขาว Neutrophil ที่ทำหน้าที่ในการทำลายเชื้อโรคในเนื้อเยื่อ
- เสริมการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว Natural Killer Cell ยับยั้งการเกิดมะเร็ง
วิตามินซีสามารถพบได้ในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวและผัก เช่น ฝรั่ง, มะเขือเทศ, ผักคะน้า, ผักโขม เป็นต้น แต่เนื่องจากวิตามินซีจะสูญสลายได้ง่ายเมื่อโดนความร้อนและสัมผัสน้ำ ดังนั้นการปรับกระบวนการปรุงอาหารให้สั้นลงจะช่วยสงวนวิตามินซีในผักได้ดียิ่งขึ้น
ปริมาณวิตามินเท่าไหร่จึงจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้
ปริมาณวิตามินซี 1,000-3,000 มิลลิกรัม/วัน จึงจะเพียงพอต่อการสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ในผู้ป่วยโรคหวัดหรือภูมิแพ้ ควรทานอย่างน้อย 2,000 มิลลิกรัม/วัน แต่อย่างไรก็ตามร่างกายคนเราจะสามารถดูดซึมวิตามินเฉลี่ย 200-400 มิลลิกรัม/ครั้งเท่านั้น
การรับประทานวิตามินซีที่ถูกต้อง
ดังนั้นวิธีการรับประทานวิตามินซีที่ถูกต้อง ควรจะต้องแบ่งทาน โดยพบว่าวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ การรับประทานวิตามินซีขนาด 500 มิลลิกรัม 2-6 มื้อ/วัน จึงจะเพียงพอต่อการเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย โดยรูปแบบวิตามินแบบรับประทานมีดังนี้
- แบบอัดเม็ด ที่พบในท้องตลาดจะมี 500 และ 1,000 มิลลิกรัม หากระบุว่าเป็นแบบ Buffered, Sustained หรือ Slow Release จะเป็นเม็ดยาที่ละลายช้า ทำให้วิตามินซีออกฤทธิ์ได้นานขึ้น ลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
- แบบเม็ดอม คุ้นกันดีสมัยเด็ก ๆ ที่เราเอามาอมแทนลูกอม มีตั้งแต่ขนาด 25-500 มิลลิกรัม วิตามินซีในรูปแบบนี้เสี่ยงต่อการฟันกร่อนเนื่องจาก การอมจะทำให้กรดค่อย ๆ มากัดเคลือบฟันได้
- แบบเม็ดเคี้ยว โดยปกติจะเป็นขนาด 30 มิลลิกรัม เหมาะกับเด็ก เพราะมีรสหวานเหมือนขนมและทานง่าย แต่อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์รูปแบบนี้จะมีน้ำตาล อาจทำให้ฟันผุได้หากทานเป็นประจำ
- แบบเม็ดฟู่ ควรต้องปล่อยให้ละลายจนหมดจึงจะดื่มได้ เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการดูดซึม
- แบบ Capsule มีทั้งแบบนิ่มและแข็ง ขนาดประมาณ 500 มิลลิกรัม
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังใช้วิธีการ Drip วิตามินซีผ่านทางหลอดเลือดดำ ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซีในปริมาณความเข้มข้นสูงในครั้งเดียว ต่างกับการรับประทานที่เสียเวลา ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
ข้อควรระวัง
ในการรับประทานวิตามินซี ก็ข้อมีข้อควรระวังเช่นกันคือ หลังการรับประทานวิตามินซีแล้ว ควรดื่มน้ำตามมาก ๆ อย่างน้อย 1 – 2 แก้ว น้ำจะเข้าไปละลายวิตามินซี ก่อนที่ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ หากดื่มน้ำน้อย วิตามินซีจะละลายไม่หมด เสี่ยงต่อการตกตะกอน อาจจะทำให้เกิดนิ่วได้ นอกจากนี้การทานวิตามินซีที่มากเกินไปใน อาจปัญหาในผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบการย่อย อาจจะให้เกิดอาการแสบท้องหรือถ่ายเหลวได้
ส่วนการ Drip วิตามินซี มีข้อควรระวัง เช่น
- ผู้ป่วยโรคไต : อาจจะเกิดปัญหาต่อการกำจัดวิตามินส่วนเกินออกจากร่างกายได้ จึงต้องทำการประเมินการทำงานของไตก่อน
- ผู้ป่วยเม็ดเลือดแดงแตกง่าย (มีเอนไซม์ชนิด G6PD บกพร่อง) : เม็ดเลือดแดงแตกตัวได้ง่าย
- ผู้ที่มีอาการแพ้วิตามินซี : ต้องได้รับการซักประวัติก่อนทุกครั้ง
การรับประทานวิตามินซีวิธีต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ถ้าจะให้ดีควรพบเภสัชกรหรือแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำก่อนรับประทาน เพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
Reference:
- โรงพยาบาลกรุงเทพ. (2565). รู้จักชนิดวิตามินซีและการทานที่ถูกต้อง. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 กรกฏาคม 2565, จาก https://bit.ly/3uMtQ01
- โรงพยาบาลพญาไท. (2564). วิตามินซีมากเท่าไหร่…ถึงดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 กรกฏาคม 2565, จาก https://bit.ly/3OCUu3y
- กองการแพทย์ทางเลือก. (2561). วิตามิน ซี (Vitamin C) ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และเสริมภูมิต้านทานโรคจากเชื้อไวรัส. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 กรกฏาคม 2565, จาก https://bit.ly/3uhJf8l