โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจ ถือว่าเป็นหนึ่งในโรคฮิตที่พบได้ในช่วงฤดูฝน (เดือนมิถุนายน-ตุลาคม) ของทุกปี เนื่องจากในฤดูฝนมีความชื้นในอากาศสูง เป็นสาเหตุทำให้เชื้อก่อโรคหลายชนิดแพร่ระบาดได้ง่าย
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งมี 3 ชนิด คือ สายพันธุ์ A, สายพันธุ์ B และสายพันธุ์ C
- สายพันธุ์ A เป็นสายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อในคน ทำให้เกิดการระบาดอย่างกว้างขวางทั่วโลก เช่น H1N2, H3N2, H5N1 เป็นต้น
- สายพันธุ์ B เป็นสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดการระบาดในพื้นที่ระดับภูมิภาค
- สายพันธุ์ C มักเป็นการติดเชื้อที่แสดงอาการอย่างอ่อนหรือไม่แสดงอาการ ไม่ทำให้เกิดการระบาด
การติดต่อ
สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางการหายใจ เมื่อผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่พูด, ไอ หรือจาม เชื้อลอยออกมาปนเปื้อนอยู่ในอากาศ หากอยู่ในพื้นที่ที่มีคนอยู่รวมกันอย่างหนาแน่น เช่น โรงเรียน, โรงภาพยนตร์, ลิฟต์ เป็นต้น ก็จะเกิดการแพร่กระจายของเชื้อได้ นอกจากนี้ยังสามารถแพร่กระจายผ่านทางการสัมผัสละอองน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยจากมือที่สัมผัสกับพื้นผิวข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่มีเชื้อ แล้วใช้มือนั้นมาสัมผัสที่จมูกและปาก ทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย
ระยะฟักตัวและระยะติดต่อ
ไข้หวัดใหญ่มีระยะฟักตัวประมาณ 1-3 วัน ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการ และสามารถที่จะแพร่ต่อไปได้อีก 3-5 วัน ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสแม้ไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อได้เช่นกัน
อาการ
มักมีอาการ ปวดศีรษะ, ไอแห้ง, มีน้ำมูก, คัดจมูก, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, มีไข้สูง โดยมักจะมีไข้สูงติดต่อกันหลายวัน หนึ่งในความอันตรายของโรคนี้ก็คือ การเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรค ซึ่งได้แก่ โรคปอดอักเสบ, โรคสมองอักเสบ เป็นต้น
การรักษา
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคนี้สามารถหายได้เอง การดูแลตัวเองที่ถูกวิธีจะช่วยลดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ลงได้ เช่น การทายาพาราเซตามอล หรือการใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวลดไข้ เป็นต้น นอกจากนี้การรับประทานยาฆ่าเชื้อไวรัส (Antivirals) ที่มีคุณสมบัติไปยับยั้งเชื้อในร่างกาย ส่งผลให้ปริมาณเชื้อในร่างกายลดลง ทำให้อาการของไข้หวัดใหญ่บรรเทาลงและลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้
การป้องกัน
หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด, ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น, ไม่คลุกคลีอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย, หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด หรือใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการไอหรือจาม หยุดงานหรือกิจกรรมกับผู้อื่นเมื่อมีอาการป่วย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อสู่ผู้อื่น นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็มีส่วนช่วยในการป้องกันด้วยเช่นกัน รวมถึงควรเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี
ข้อดีของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
ภายหลังจากการฉีดวัคซีนภูมิจะขึ้น ภายใน 2-3 สัปดาห์ ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคของวัคซีนจะมีประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ หลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้ว อาจยังเป็นไข้หวัดใหญ่ได้ แต่อาการจะน้อยลง ไม่รุนแรง สามารถลดอัตราการป่วยหรือความรุนแรงจากโรค, ลดภาวะแทรกซ้อน, ลดการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและค่าใช้จ่ายในการรักษา เนื่องจากว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายที่มีต่อเชื้อไข้หวัดใหญ่จะลดต่ำลงในระยะเวลา 6 เดือน – 1 ปี จึงจำเป็นที่ต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี
หลายคนคิดว่าไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่ไม่อันตราย แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนหลังติดเชื้อถึงแก่ชีวิตได้ แต่หากเรารู้วิธีการปฏิบัติและการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีแล้ว หน้าฝนที่กำลังจะมาถึงนี้ก็จะไม่น่ากลัวอีกต่อไป
Reference:
- โรงพยาบาลมหาชัย 2. (2565). ไข้หวัดใหญ่… หน้าฝน. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565, จาก https://bit.ly/3RcR0q6
- โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์. (2565). โรคที่มากับหน้าฝน. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565, จาก https://bit.ly/3yMQ5p3
- กรมควบคุมโรค. (2562). ไข้หวัดใหญ่ (Influenza). สืบค้นเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565, จาก https://bit.ly/3apd5kQ
- โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์. (2564). ไข้หวัดใหญ่. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565, จาก https://bit.ly/3ykeZLr