บ่อยครั้งที่เราจะพบเจอปัญหาเรื่องกลิ่นจากผู้คนรอบข้างหรือผู้คนที่สัญจรไปมารอบ ๆ ตัว เราอาจรู้สึกหงุดหงิด รำคาญ รังเกียจ ไม่อยากเข้าใกล้ ส่งผลถึงการใช้ชีวิตประจำวันของเรา จึงจะเห็นว่าปัญหาเรื่องกลิ่นนี้เป็นปัญหาด้านสุขภาพและด้านบุคลิกภาพที่สำคัญ
แต่ในหลายท่าน กลับเป็นตัวเองที่เป็นผู้ประสบปัญหานี้ และยังไม่สามารถจัดการได้เสียเอง ในที่นี้จึงได้นำเสนอวิธีการจัดการปัญหากลิ่นหลักที่เจอกันบ่อย ๆ เราเอาอยู่แน่นอน ไปดูกันเลย
กลิ่นปาก
สาเหตุ
- ภายในช่องปาก : เกิดจากแผลในช่องปาก, เหงือกอักเสบ, แผลร้อนใน, ฟันผุ, ผู้ที่ใส่ฟันปลอม/จัดฟัน, ลิ้นไม่สะอาด, น้ำลายบูด, ดื่มน้ำน้อย
- ภายนอกช่องปาก : การทานอาหารกลิ่นแรง, ดื่มแอลกอฮอล์, สูบบุหรี่, กลิ่นต่าง ๆ นี้สามารถตกค้างในช่องปาก
- โรคในระบบทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง เช่น ทอนซิลอักเสบ, มะเร็งช่องปาก, โรคปอด เป็นต้น
การดูแลรักษา
- ทำความสะอาดช่องปาก ลิ้น อย่างถูกวิธี
- หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีกลิ่นแรง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ใช้น้ำยากำจัดกลิ่น ลดเชื้อแบคทีเรีย
- พบทันตแพทย์ เพื่อรับการรักษาตรวจสุขภาพช่องปาก
กลิ่นตัว
สาเหตุ
- เหงื่อ ที่ถูกสร้างจากต่อมเอกไครน์ (Eccrine Gland) ที่อยู่บริเวณผิวหนัง เมื่อสัมผัสกับแบคทีเรียจะทำให้เกิดกลิ่นขึ้น
- สารที่หลั่งจากต่อมกลิ่น (Apocrine Gland) ประกอบด้วยกรดไขมัน เช่น Sulfanyl Alkanols และ Steroid ที่อยู่บริเวณรักแร้ ขาหนีบ มีลักษณะเหลวข้น หากสัมผัสถูกเชื้อแบคทีเรีย (Corynebacteria Spp.) จะเกิดกลิ่นแอมโมเนีย
- ปัญหาสุขภาพ เช่น ภาวะร่างกายหลั่งเหงื่อมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) น้ำหนักมาก
- ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ทานอาหารที่มีกลิ่นแรง/รสเผ็ด ดื่มแอลกอฮอล์
การดูแลรักษา
- อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เน้นที่รักแร้ ขาหนีบ โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
- ใช้สารระงับเหงื่อ (Antiperspirant) เช่น อลูมิเนียมคลอไรด์ (Aluminium Chloride) ซึ่งจะไปอุดท่อต่อมเหงื่อ โดยทารักแร้ก่อนนอน และล้างออกในตอนเช้า
- ใช้ยาดับกลิ่นตัว (Deodorant) มีส่วนประกอบเช่น สารลดเหงื่อ สารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และน้ำหอม จะช่วยกำจัด/ลดกลิ่นตัวลงได้
- สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด รวมถึงเลือกเสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ ระบายอากาศได้ดี
- หลีกเลี่ยงการทานอาหารรสจัด อาหารกลิ่นแรง
กลิ่นเท้า
สาเหตุ
- เหงื่อ ที่ถูกสร้างจากต่อมเอกไครน์ (Eccrine Gland) ที่อยู่บนผิวหนัง เมื่อสัมผัสกับแบคทีเรียบนผิวหนังจะทำให้เกิดกลิ่นขึ้น ในบางรายที่มีความรุนแรงมากจะพบเปื่อยยุ่ยหรือเป็นหลุมบริเวณฝ่าเท้า
- โรคเท้าเหม็น พบบ่อยในผู้ที่เดินเท้าเปล่าย่ำน้ำในหน้าฝน เมื่อผิวหนังชั้นนอกสุดเปียกชื้น/เกิดการติดเชื้อ ก็เกิดกลิ่นขึ้นมาได้
- โรคน้ำกัดเท้า (Athlete’s Foot) ที่เกิดจากการติดเชื้อรา ทำให้เกิดอาการคัน เท้าลอก และส่งกลิ่นจากความอับชื้น
การดูแลรักษา
- ดูแลสุขภาพเท้า, ตัดเล็บให้สั้น, ทำความสะอาดฝ่าเท้า นิ้วเท้า เป็นประจำด้วยสบู่ โดยจะใช้สบู่ฟอกเท้า ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที ก่อนล้างออก สามารถลดกลิ่นเท้าได้
- หมั่นเปลี่ยนรองเท้าบ่อย ๆ
- ทำความสะอาดรองเท้า นำรองเท้าผึ่งแดด ผึ่งลม รวมถึงการใช้สารดูดกลิ่นใส่ในรองเท้า สเปรย์ฉีดรองเท้า เพื่อระงับกลิ่น
- ใส่ถุงเท้าที่ทำวัสดุที่ระบายอากาศได้ดี อาจจะต้องโรยแป้งหรือใช้สเปรย์ระงับกลิ่นฉีด/ทาที่บริเวณเท้าก่อนใส่ถุงเท้า เพื่อลดความอับชื้น
- ยาที่ลดความอับชื้น เช่น 20%Aluminium Chloride เป็นผงแป้ง โรยไปที่เท้าวันละ 1-2 ครั้ง หรือทายาที่ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Clindamycin, Erythromycin เป็นต้น
- ฉีด Botulinum Toxin ที่ฝ่าเท้า เพื่อให้ลดการสร้างเหงื่อ
และหากพบว่าปัญหานี้ยังคงอยู่แม้จะปฏิบัติตามขั้นตอนที่เราแนะนำแล้ว ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม เพราะบางสาเหตุของกลิ่นปากอาจเกิดจาก โรคทางพันธุกรรมชื่อ Trimethylaminuria ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาต่อไป
Reference:
- ผศ.พญ.จรัสศรี ฬียาพรรณ. (2560). กลิ่นตัว. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2565, จาก https://bit.ly/3zNUoBm
- ผศ.นพ.สุมนัส บุญยะรัตเวช. (2560). ทำอย่างไรเมื่อเท้าเหม็น. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2565, จาก https://bit.ly/3b5qDSl
- พบแพทย์. (2565). กลิ่นตัวคืออะไรและจัดการได้อย่างไร. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2565, จาก https://bit.ly/3N5kbba
- โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์. (2562). กลิ่นปากไม่ใช่เรื่องตลก (Bad breath). สืบค้นเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2565, จาก https://bit.ly/3HQ3fot